Podcasts by Category
- 16 - อาจเห็นธปท.ลดดอกเบี้ยหากเกิดวิกฤติการเมือง
อาจเห็นธปท.ลดดอกเบี้ยประคองวิกฤติการเมือง หากการประท้วงทางเมืองไม่รุนแรง เศรษฐกิจไทยอาจใช้มาตรการทางการคลังของภาครัฐช่วงประคองได้ แม้กระทบ 4 ด้าน คือ ท่องเที่ยวในประเทศ ค้าปลีก สินทรัพย์ขนาดใหญ่ และการลงทุน แต่หากรุนแรงและยืดยาว เศรษฐกิจเสี่ยงหดตัวแรงกว่าคาด ด้านสินเชื่อขยายตัวช้าและกระจุกอยู่ระดับบน การลดดอกเบี้ยจะช่วยประคองปัญหาหนี้เสีย เงินเฟ้อต่ำ บาทแข็ง และเศรษฐกิจเสี่ยงถดถอยไตรมาส4เทียบไตรมาส3 เราอาจเห็นธปท.ลดดอกเบี้ย FIDF MPC และชวนธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยตาม แม้ดอกเบี้ยไม่ใช่ยารักษาทุกโรค แต่ผู้ป่วยโควิดประเทศไทยยังอยากขอยาพาราลดไข้จากปัญหาการเมืองที่อาจรุนแรงได้ครับ
Sat, 17 Oct 2020 - 09min - 15 - มุมมองเศรษฐกิจรายสัปดาห์17-21 สิงหาคม
มุมมองเศรษฐกิจรายสัปดาห์ 17-21 สิงหาคม 1. ตัวเลขGDP ไตรมาสที่สองของไทยหดตัว 12.2%จากปีก่อนหรือ หดตัว 9.7%จากไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล แรงสนับสนุนคือการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ แต่ด้านเอกชนอ่อนแอ 2.เงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าเล็กน้อยในสัปดาห์นี้ ยังไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ตามปัจจัยต่างประเทศ 3.จับตาความสัมพันธ์สหรัฐและจีนที่อาจตึงเครียดได้อีก ซึ่งไม่เป็นผลดีกับดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้น ขณะที่ที่บาทอาจกลับมาแข็งได้หากมองบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภูมิภาค แม้การเมืองมีความเสี่ยง 4.รอตัวเลขส่งออกไทยเดือนกรกฏาคมในสัปดาห์หน้า หวังติดลบน้อยลง
Mon, 17 Aug 2020 - 02min - 14 - มุมมองเศรษฐกิจรายสัปดาห์10-14สิงหาคม
มุมมองเศรษฐกิจรายสัปดาห์ 10-14 สิงหาคม 1. เงินเฟ้อเดือนกรกฏาคมอยู่ที่ -0.98%yoy ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาพลังงานและอาหารสด) อยู่ที่ +0.39%yoy โดยเงินเฟ้อมีแนวโน้มติดลบน้อยลงจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น มองต่อไปข้างหน้า เงินเฟ้อมีแนวโน้มขยายตัวจากเดือนก่อนหน้าซึ่งหมายถึงจะติดลบจากปีก่อนน้อยลง ส่วนว่าจะขยับมาเป็นบวกได้เมื่อไร ผมว่าอาจเห็นได้ในช่วงต้นปีหน้า 2.อัตราการว่างงานสหรัฐลดลงสู่ระดับ 10.2%ในเดือนกรกฏาคมจากระดับสูงสุดที่ 15%ในเดือนเมษายน แม้จะมีคนกลับเข้ามาทำงานมากขึ้น แต่อาจเป็นกลุ่มที่สามารถเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เร็ว เช่น ภาคการผลิต การก่อสร้าง การค้าปลีก ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหรือบันเทิงยังฟื้นตัวช้า มองเศรษฐกิจสหรัฐยังยากและต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีที่จะกลับไปมีอัตราการว่างงานต่ำที่ราว 3.5%ในช่วงก่อนโควิด-19 3.สัปดาห์นี้ให้ติดตามราคาทองคำและค่าเงินบาทที่ผันผวนแรง โดยมองว่าราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นเร็วมาจากความกังวลต่อค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าตามความเชื่อมั่นเศรษฐกิจที่ลดลงหลังผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งแรงต่อเนื่อง และยังขยับขึ้นได้อีก แต่เงินบาทที่แข็งค่าเร็วนั้น มองว่าอาจเร็วเกินไป อาจมาจากมีดีลใหญ่ที่นำดอลลาร์เข้าประเทศ ซึ่งชั่วคราว และอาจส่งผลให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าได้ในสัปดาห์นี้ 4.สัปดาห์หน้า 17 ส.ค. จะมีตัวเลข GDP ไตรมาสที่สองของไทยที่สภาพัฒน์จะรายงาน เรามองว่ามีโอกาสหดตัวได้ถึง 14%จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน แต่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจในช่วงล๊อกดาวน์ มองต่อไปเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวแบบช้าๆ แต่ให้ระวังปัญหาการเมืองและการระบาดของไวรัสรอบสอง
Sun, 09 Aug 2020 - 02min - 13 - อ่านใจผู้กำหนดนโยบายการเงิน 5 สิงหาคม 2563 ก่อนประชุมกนง
คาดกนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.50% ต่อปี คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะมีการประชุมในวันที่ 5 สิงหาคมนี้เพื่อพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการทางการเงินอื่นที่สำคัญ สำนักวิจัยคาดว่ากนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ต่อปีหลังจากที่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลงถึง 3 ครั้งๆ ละ 0.25% จากระดับ 1.25% เมื่อสิ้นปีก่อนหน้า และได้ลดดอกเบี้ยที่จัดเก็บเพื่อชำระหนี้กองทุนฟื้นฟู หรือ FIDF อีก 0.23% จากระดับ 0.46% สู่ระดับ 0.23% ซึ่งการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องได้มีผลช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ลงทุนและผู้บริโภค แต่ในภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ประกอบกับที่เอกชนขาดความเชื่อมั่น การลดดอกเบี้ยอาจมีผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อไม่มากนัก หรือที่เรียกว่ากับดักสภาพคล่อง (Liquidity trap) โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่แม้ทางธปท.ได้มีมาตรการอัดฉีดเงิน หรือ soft loan ให้แต่มีธุรกิจจำนวนมากที่ยังไม่ได้ใช้หรือไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อประเภทนี้ ซึ่งทางธปท.น่าจะไปเร่งผ่อนคลายเกณฑ์ให้เอกชนใช้สินเชื่อมากกว่าการลดดอกเบี้ย ผมมองว่าทางกนง.ได้ผ่อนคลายมาตรการทางการเงินไปอย่างเต็มที่แล้วในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขาลง และเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอการหดตัวหรือมีแนวโน้มว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วดังตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนที่ธปท.รายงาน การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมหรือให้ลดดอกเบี้ยลงอีกก็อาจจะไม่จำเป็นมากนัก โดยผมมองว่านอกจากธปท.จะเร่งการใช้ soft loan แล้ว ก็น่าจะหามาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าเทียบสกุลอื่นในภูมิภาคเพื่อช่วยผู้ส่งออก ยังเหลือกระสุนไหมหากเกิด Second Wave การคงดอกเบี้ยรอบนี้ก็เพื่อรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายไว้ใช้ยามจำเป็น เพราะแม้เศรษฐกิจไทยอาจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจริงตามที่นักเศรษฐศาสตร์ได้ประเมินไว้ กล่าวคือแม้ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะยังคงหดตัวจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน แต่ตัวเลขต่างๆ น่าจะดีขึ้นเทียบเดือนต่อเดือน หรือไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งหมายความว่าไตรมาสที่สามจะดีกว่าไตรมาสที่สอง แม้ยังหดตัวเทียบปีก่อน ซึ่งเป็นลักษณะการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ภาพรวมจะดูดีขึ้นแต่เราก็ไม่ควรประมาท เพราะมีความเสี่ยงต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาหดตัวจากไตรมาสที่สองได้อีก โดยเฉพาะหากเราต้องกลับมาปิดเมืองกันอีกจากการระบาดรอบสอง หรือ second wave แล้วทางกนง.จะเหลือกระสุนพอไหม? ผมมองว่ามีกระสุนเหลือ แต่เหลือน้อยนะครับ ซึ่งเครื่องมือที่ทางกนง.อาจหยิบมาใช้ในการพยุงไม่ให้เศรษฐกิจหดตัวแรงหรือพยายามลดภาระทางการเงินให้แก่ผู้กู้ในช่วงปิดเมืองรอบสองได้แก่ 1. ลดการเก็บดอกเบี้ยเข้ากองทุนฟื้นฟูอีกจนหมด ซึ่งจะช่วยลดดอกเบี้ยได้ไม่ต่ำกว่า 0.23% 2. ลดดอกเบี้ยนโยบายจนหมด จาก 0.50% เหลือ 0% ซึ่งต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน 3. ขอความร่วมมือแบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ยลงอีก หรือ moral suasion เพื่อช่วยกันลดภาระทางการเงินของผู้กู้และอาจขอให้ช่วยปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนลูกค้ารายย่อยหรือ SME บางประเภทที่ได้รับผลกระทบ 4.ขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้ เพื่อให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมีกระแสเงินหมุนเวียนเพียงพอและอาจใช้จังหวะเวลาช่วงนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้ในระยะยาว แต่ก็ควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยและมีความสามารถในการชำระหนี้ กลับเข้ามาชำระหนี้ตามปกติเพื่อให้ธนาคารมีเงินทุนไปปล่อยสินเชื่อต่อได้ 5. ผ่อนคลายกฏระเบียบการกำกับสถาบันการเงินให้ปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้น หรือผ่อนคลายเกณฑ์การใช้ soft loan ของกลุ่ม SME ให้คล่องตัวมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ 6. ธปท.อาจให้น้ำหนักการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนหรือเข้าแทรกแซงเพื่อให้เงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น อ่านใจกนง. ... จะกำหนดนโยบายการเงินต่อไปอย่างไร ผมคิดว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาสที่สอง แต่การฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังเต็มไปด้วยความเสี่ยง ความเสี่ยงหรือปัจจัยทั้งหมดนี้อาจมีผลให้ทางธปท. ยังคงต้องเฝ้าระวังตัวเลขทางเศรษฐกิจและพร้อมใช้มาตรการที่ผ่อนคลายเพิ่มเติม เสริมไปกับมาตรการทางการคลังที่อาจมีขึ้นอีกในอนาคตหลังปรับครม. ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่อยู่ช่วงการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปเช่นนี้ ผมขออ่านใจกนง. ว่า เขาอาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยต่ำลากยาว และหาทางใช้มาตรการอื่นนอกจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการพยุงเศรษฐกิจหากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าคาด ผมมองว่าทางกนง. น่าจะเริ่มใช้กลไกอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นในอนาคต เพราะเรามองเงินบาทมีความเสี่ยงแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ และสกุลอื่นในภูมิภาคได้อีก และหากโชคร้ายเกิดวิกฤติรอบสอง ผมก็ขอเดาใจกนง. ว่าพวกเขายังมั่นใจว่ายังมีเครื่องมือในการพยุงเศรษฐกิจได้ครับ
Wed, 05 Aug 2020 - 03min - 12 - เงินเฟ้อติดลบ... เงินฝืดไม่ฝืด
เงินเฟ้อติดลบลากยาวทำให้เกิดเงินฝืด หรือ deflation แต่วันนี้เรามีเงินฝืดร่วมกับเศรษฐกิจที่ถดถอย จึงเปลี่ยนจากภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ หรือ Economic Stagnation ลามเข้าสู่ Recession เพราะไม่ใช่เพียงราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้เงินเฟ้อทั่วไปติดลบ แต่ราคาสินค้าอื่นๆ ที่สะท้อนกำลังซื้อของคนก็ลดลงตามทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมพลังงานและอาหารสด)แทบไม่ขยายตัว ที่จริงราคาสินค้าเกษตรขึ้นมานานแล้วจากปัญหาภัยแล้งที่ผลผลิตออกมาน้อย แต่รายได้ภาคเกษตรหดตัว กำลังซื้อเลยต่ำ อีกทั้งการเลิกจ้างในกลุ่มนอกภาคเกษตรมีผลให้กำลังซื้อโดยรวมอ่อนแอ มองไปข้างหน้า มีสองประเด็นต้องจับตามอง ประเด็นแรก เงินเฟ้อใกล้ถึงจุดต่ำสุดตามราคาพลังงาน ในสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ เราอาจต้องเทียบพัฒนาการเงินเฟ้อเทียบเดือนก่อนหน้ามากกว่าเทียบปีก่อนหน้า คือแม้เงินเฟ้อติดลบถึง - 3.44%เทียบพ.ค.62 ซึ่งถือว่าลงลึกมาก แต่เงินเฟ้อกลับแทบไม่เปลี่ยนแปลง (+0.01%) เทียบเดือนก่อน นั่นหมายความว่าเงินเฟ้อน่าจะลดการติดลบลง และหากดูปัจจัยสนับสนุนก็มาจากราคาพลังงานที่ฟื้นตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งราคาพลังงานเป็นส่วนสำคัญไม่เพียงแต่ในสัดส่วนเงินเฟ้อ แต่มีผลทางอ้อมต่อค่าขนส่งและราคาวัตถุดิบในสินค้าอื่นๆ ด้วย ประเด็นที่สอง มาตรการรัฐลดค่าครองชีพช่วยลดเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ต่ำส่วนหนึ่งมาจากค่าไฟฟ้าที่ลดลง ซึ่งตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ขยายตัว 0.01%เทียบปีก่อน หรือหดตัว 0.3% จากเดือนก่อนหน้า อาจไม่เพียงสะท้อนกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอจาก คนขาดกำลังซื้อ ราคาสินค้าจึงขึ้นไม่ได้เพียงอย่างเดียว แต่มีบางกลุ่มที่อาจปรับตัวลดลงตามมาตรการรัฐชั่วคราว เช่น ค่าไฟฟ้า ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเป็นเช่นไร หลังสิ้นสุดมาตรการประคองค่าครองชีพสิ้นสุดลง ซึ่งน่าจะขยับขึ้นมาได้บ้าง ที่ผมห่วงในช่วงครึ่งปีหลัง หลังมาตรการลดค่าครองชีพสิ้นสุดและราคาน้ำมันเริ่มขยับขึ้นแล้ว คือเงินเฟ้อจะเริ่มขยับขึ้นแต่รายได้คนยังหาย ซึ่งเชื่อว่ารายได้หรือ GDP คงหดตัวลากยาวในปีนี้ และหากราคาน้ำมันหรือสินค้าขึ้น ฐานะความเป็นอยู่ของคนจะยิ่งลำบากกว่านี้ก็ได้ครับ ตกลงเงินฝืดหรือไม่ฝืด... ตามนิยามคงตอบว่ายังแต่ก็เกือบจนจะล้ำเส้นละครับ แต่ผมว่าพูดให้ชัดว่าฝืดไปเลยดีกว่า เงินเฟ้อติดลบมานาน ไม่เพียงราคาน้ำมันแต่กำลังลามมาสินค้าอื่น อุปสงค์ก็อ่อนแอ ในอดีตเราแทบไม่นิยามเงินฝืดกันเลย แม้ช่วงปี 2008-2009 ที่เงินเฟ้อติดลบ แต่เศรษฐกิจลงลึกสุดในช่วงไตรมาสสองปี 2009 ก่อนฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จะมองฝืดหรือไม่ วันนี้ต้องถามก่อนว่านอกจากราคาสินค้าที่ลงแล้ว ราคาสินทรัพย์อื่นๆ เช่น บ้าน รถยนต์ ก็ลดลงด้วย มีเพียงหุ้นที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วหลังดิ่งลงในช่วงเดือนมีนาคม ด้านการว่างงานก็เพิ่มขึ้นมาก รายได้คนก็ลดลง จริงๆ เราน่าจะถามว่าเศรษฐกิจไทยที่แบ่งเป็นสองด้าน ที่ด้านหนึ่งทรุดหนัก อีกด้านฟื้นอย่างรวดเร็ว ด้านหนึ่งเรียกเงินฝืด เพราะอีกด้านคงไม่ใช่ มองต่อไป แล้วนโยบายการเงินจะรับมือเช่นไร ผมมองว่าต่อให้เงินฝืดจริง ก็ไม่ได้แปลว่าทางธปท.จะทำอะไรเพิ่มเติม แม้ใช้นโยบายการเงินโดยอิงกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย แต่ก็มีความยืดหยุ่นมาก ต่อให้ตกกรอบล่างนานๆ ก็อธิบายได้ว่าทำไมจะไม่ลดดอกเบี้ยอีก หรือต่อให้ไม่หลุดกรอบแต่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เขาสนใจก็ลดดอกเบี้ยได้ อันนี้จะเป็นปัญหาในการอธิบายสื่อสารให้คนเข้าใจทิศทางนโยบายการเงินในอนาคตครับ แต่ไม่ใช่ว่าเขาผิดนะครับ เพียงแต่ตลาดการเงินมันซับซ้อนมาก วันนี้อยากให้นักเศรษฐศาสตร์เอาคนเป็นตัวตั้งมากกว่าดัชนี เพราะต่อให้เราเถียงกันว่าดัชนีอัตราเงินเฟ้อบอกว่าเราเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่ แต่คนไทยวันนี้รายได้ฝืดเคือง เงินไม่มีใช้ ของที่ผลิตออกมาขายไม่ได้จนต้องลดราคาลง อย่างน้อยเก็บเงินสดไว้ก่อน เงินจึงมีค่ามาก... ใครไม่มีเงินจะรู้ดีครับ
Fri, 05 Jun 2020 - 03min - 11 - การจลาจลในสหรัฐกับทิศทางนโยบายการเงินไทย
การประท้วงในสหรัฐกับนโยบายการเงินไทย หลังเกิดเหตุเรียกร้องความเสมอภาคทางสังคมในสหรัฐจนบานปลายไปสู่เหตุจลาจลในหลายเมือง เศรษฐกิจสหรัฐก็มีแนวโน้มดำดิ่งลงหนักขึ้นกว่าเพียงกรณีไวรัสโควิด-19ระบาด มองต่อไป การประท้วงในสหรัฐจะมีผลอะไรกับไทยบ้าง การส่งออกไทยหดตัวแรง ชั่วคราว - จากเดิมที่เราคาดว่าการส่งออกช่วงไตรมาสสองลากยาวตลอดทั้งปีมีโอกาสติดลบถึง 20% ก็มีโอกาสหดตัวหนักขึ้นจากอุปสงค์ที่ชะลอลงอีกในสหรัฐ แต่ความไม่สงบจากเหตุจลาจลนี้น่าจะชั่วคราว สุดท้ายก็จะสงบได้ เพียงแต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นที่ลดลงอาจกระทบความต้องการสินค้าในช่วงระยะ 1-3 เดือนนี้หนักเพิ่มขึ้นไปจากกรณีไวรัสระบาดเพียงอย่างเดียว แต่เงินบาทแข็งค่า ไม่ชั่วคราว - จากการจลาจลในสหรัฐที่ทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มหดตัวหนักขึ้น สิ่งที่เฟดอาจทำต่อคือ การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มอีกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และอาจเตรียมลดดอกเบี้ยต่ำ 0% หรือดอกเบี้ยติดลบ เพื่อให้เงินออกจากภาคธนาคารเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสภาพคล่องที่ล้นในรูปดอลลาร์สหรัฐจะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า เพราะสุดท้ายดอกเบี้ยไทยก็ลงได้อีกไม่มากและไม่น่าติดลบได้ แถมเราไม่ได้ทำQEเหมือนสหรัฐ ด้านปัจจัยพื้นฐาน ไทยเองก็เกินดุลบัญชีเดินสะพัด แม้ส่งออกหดตัว แต่นำเข้าลงแรงกว่าด้วยจากราคาน้ำมันและการนำเข้าเครื่องจักรที่ลดลงตามการลงทุน ผมมองการรับมือเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้อยู่ 3 ประเด็น ซึ่งหากรอช้า เศรษฐกิจไทยอาจลงดิ่งกว่าที่เราคาดได้ 1. แก้บาทแข็ง สร้างดีมานด์ดอลลาร์เทียม - เราหนีไม่พ้นที่ตามปัจจัยพื้นฐานแล้วบาทจะแข็งตามการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด แต่หากมีเงินไหลเข้าจากส่วนต่างดอกเบี้ยหรือการเก็งกำไร เราก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อบาทแข็งเพราะมีคนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขาย มีทางหรือไม่ที่เราจะสร้างดีมานด์เทียมให้ดอลลาร์สหรัฐ เช่นการที่มีกองทุนหนึ่งซื้อดอลลาร์สหรัฐจากธปท.ไปลงทุนต่างประเทศ ไม่ใช่เพียงไปลงทุนซื้อพันธบัตรหรือหุ้น แต่ไปซื้อเทคโนโลยีหรือธุรกิจที่มีอนาคต ไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และได้เงินปันผลจากกิจการเหล่านี้นเป็นรายได้ในระยะยาว หลายประเทศก็ทำกันหรือในรูปแบบต่างกัน เช่น กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย 2. ลดดอกเบี้ยกองทุนฟื้นฟู (เหลือ 0.01%) - หากเศรษฐกิจชะลอหนักกว่านี้จนกนง.อาจต้องทบทวนการลดดอกเบี้ยอีก ทางธปท.อาจใช้การลดดอกเบี้ย FIDF ลงจนเกือบหมด (ทำไมไม่เหลือ0ไปเลยนะหรือครับ สงสัยเดี๋ยวหาว่าจะไม่ใช้หนี้เก่า) ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง เพิ่มสภาพคล่องธุรกิจและลดภาระผู้กู้ได้อย่างรวดเร็ว 3. เร่งประสานคลังเตรียมตั้ง Good Bank Bad Bank รับมือ NPL ที่จะทะลักท่วมหลังหมดมาตรการพักชำระหนี้ - หลายคนอาจไม่ได้พูดถึงระเบิดเวลาลูกใหญ่ในระบบการเงินไทย นั่นคือการพักชำระหนี้ ซึ่งทางธปท.ได้ให้ธนาคารพาณิชย์พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับลูกค้า (ดอกเบี้ยยังคงคำนวนอยู่) แต่มาตรการนี้จะหมดเวลาในอีกราว 3-4 เดือน แล้วเมื่อให้ครัวเรือนและธุรกิจกลับมาจ่ายหนี้ได้อีกครั้ง เขาจะมีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่ หากเศรษฐกิจไทยยังแย่อยู่ หรือระบบเศรษฐกิจยังเปิดไม่หมด โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่ยากจะฟื้นได้ภายในปีนี้ แล้วหากเกิดหนี้เสีย เป็น NPL เข้าระบบ ทางธนาคารจะต้องกันหนี้ไปตั้งสำรอง เงินที่เหลือจะปล่อยกู้เข้าระบบจะลดลง ต่อให้ธุรกิจดีๆ หรือคนมีเครดิดดีๆ จะขอกู้ ก็อาจจะกู้ยาก เพราะเงินมีน้อย ไม่ต้องพูดถึงกรณีคนฝากอาจไม่มั่นใจแห่ถอนเงินอีก อันนี้ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ หรือไกลตัวนะครับ ทางธปท. อาจทำได้คือขยายเวลาพักหนี้ไปเป็นปี ร่วมกับการที่ธนาคารปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้า เช่นยืดเวลา ลดเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน หรือถ้าจะปรับตัวครั้งใหญ่ ก็หาทางเตรียมตั้ง Bad Bank รับหนี้เสียไปบริหารเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินไปปล่อยกู้ได้ โดยสรุป การประท้วงในสหรัฐเป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่หนักเพิ่มขึ้นจากกรณีโควิด-19ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอย แต่กลไกทางการเงินที่จะเดินต่อไปข้างหน้านั้นซับซ้อนนัก เพราะหากไม่เดินเลย อยู่เฉยๆ ก็อาจโดนกระทบหนักจากค่าเงินที่แข็งค่า ดอกเบี้ยสูง และหนี้เสียท่วม แต่หากเดินเกมรุก ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะทุกก้าวล้วนมีความเสี่ยงจากการถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือหนี้สาธารณะในอนาคตที่จะเพิ่มสูง แต่เราคงเหลือเวลาคิดอีกไม่นานครับ
Thu, 04 Jun 2020 - 03min - 10 - เศรษฐกิจไทยถอยหลัง 3 ปี
เศรษฐกิจถอยหลังไปสามปี ดร.อมรเทพ จาวะลา เศรษฐกิจไม่เต็มร้อย สภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปีนี้ในวันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งทางสำนักวิจัยคาดว่า เศรษฐกิจมีโอกาสหดตัวได้ราวร้อยละ 2.6 เทียบช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หรือหดตัวลงร้อยละ 3.4 เทียบไตรมาสก่อนหน้าหลังปรับฤดูกาล (seasonal adjustment) และกำลังเดินหน้าเข้าสู่ไตรมาสที่สองที่เรามองว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจจะหดตัวได้มากกว่าร้อยละ 10 ซึ่งน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทย ก่อนที่จะติดลบน้อยลงจากปีก่อน (ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า) ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่โดยรวมเศรษฐกิจไทยมีโอกาสติดลบได้ราวร้อยละ 6.4 จากปีก่อนหน้า หรือเทียบขนาดเศรษฐกิจก็จะมีขนาดเพียงร้อยละ 93.6 จากปีก่อน ยิ่งในไตรมาสที่สองนี้อาจมีขนาดต่ำกว่าร้อยละ 90 เทียบไตรมาสสองปีก่อน เรียกว่าเศรษฐกิจปีนี้มีขนาดไม่เต็มร้อย และหากมองขนาดเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่าราว 16.9 ล้านล้านบาท (ราคาปัจจุบันจากตัวเลขสภาพัฒน์) ขนาดเศรษฐกิจปีนี้อาจน้อยกว่าร้อยละ 93.6 เพราะนอกจากเศรษฐกิจที่แท้จริง หรือ Real GDP จะหดตัวแล้ว ราคาสินค้าก็ลดลงด้วย ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจในราคาปัจจุบัน หรือ Nominal GDP อาจเหลือเพียงร้อยละ 92 หรือราว 15.5 ล้านล้านบาท ซึ่งจะพอๆ กับขนาดเศรษฐกิจปี 2017 เรียกว่าถอยหลังไปไม่ใช่ปีหรือสองปี แต่ถึงสามปีเลยทีเดียว การที่เศรษฐกิจไทยจะหดตัวแรงก็มาจากเครื่องยนต์ที่โดนผลกระทบจากไวรัสโควิด โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่หดตัวตามความต้องการในตลาดโลกที่อ่อนแอ และมาตรการจำกัดการเดินทาง โดยผลกระทบส่วนนี้ประกอบกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส ได้มีผลให้หลายภาคธุรกิจปิดตัวลง การผลิต การจ้างงาน การบริโภคลดลง โดยมีผลมากในช่วงเดือนมีนาคมมากกว่าช่วงต้นไตรมาส ในทางตรงกันข้าม ภาครัฐที่เคยเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจในช่วงต้นไตรมาสจากงบประมาณที่ล่าช้า กลับมามีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายและการลงทุนได้ในเดือนมีนาคม มองต่อไปข้างหน้า ภาคเอกชนมีแนวโน้มอ่อนแอรุนแรงขึ้นในช่วงไตรมาสที่สอง ซึ่งความหวังอยู่ที่การใช้จ่ายภาครัฐในการนำเงินมาชดเชยรายได้หรือเงินโอนเพื่อประคองกำลังซื้อของครัวเรือนในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวในไตรมาสที่สองนี้
Wed, 13 May 2020 - 03min - 9 - มุมมองเศรษฐกิจรายสัปดาห์ 11 พ. ค.
เศรษฐศาสตร์ 3 นาที มุมมองเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ (11พ.ค.) 1.การว่างงานสหรัฐยังสูง 2.เงินเฟ้อติดลบในจีนและสหรัฐอาจสะท้อนภาพเงินฝืด 3.ภาคการผลิตและการค้าปลีกจีนและสหรัฐยังแย่ แต่เป็นคนละภาพ จีนกำลังผ่านจุดต่ำสุดแต่สหรัฐยังแย่ต่อ 4.ไทย-รอแผนการคลายการปิดเมือง และรอตัวเลขGDPไตรมาสแรกวันจ.หน้า(คาดติดลบ3%) และกนง.ลดดอกเบี้ยวันพ.หน้า
Mon, 11 May 2020 - 02min - 8 - Second wave effect
หลังเปิดเมืองเริ่มให้เศรษฐกิจเดินหน้าใหม่ได้หรือ Restart the Economy แล้ว สิ่งที่ต้องระวังคือการที่คนกลับมาติดเชื้อไวรัสมากขึ้นจนต้องกลับมาปิดเมืองซ้ำใหม่ ซึ่งจะยิ่งมีผลเสียทางเศรษฐกิจรุนแรง ทางออกคือต้องคงการรักษาระยะห่างทางสังคม และมีการตรวจหรือ testing ต่อเนื่อง อย่างน้อย 2%ของประชากร เพื่อสร้างความมั่นใจ อย่างไรก็ดี ตัว second wave effect อาจยังไม่ส่งผลทันทีหลังเปิดเมือง แต่อาจยาวไปช่วงต้นฤดูหนาวอย่างเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนนี้ คงต้องระมัดระวังตัวและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดกันต่อไปครับ
Tue, 28 Apr 2020 - 03min - 7 - Restart the Economy
เมื่อเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เราก็ต้องเตรียมรับมือไวรัสโควิดให้ได้ เราอาจดูบทเรียนสิงคโปร์ที่มีผู้ติดชื้อเพิ่มหลังเปิดเมืองเร็วไป หรืออย่างไต้หวันหรือเกาหลีใต้ที่ไม่ได้ปิดเมืองแต่ควบคุมการระบาดได้โดยมีผลเสียทางเศรษฐกิจน้อยกว่าที่อื่น ส่วนเราอาจระวังsecond wave หรือการแพร่ระบาดอีกรอบ แต่ต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะไวรัสนี้ลากยาวเป็นปีจนกว่าจะมีวัคซีน การปิดเมืองถาวรคงทำไม่ได้ และรัฐไม่มีเงินหรือความสามารถมากพอจะดูแลชดเชยผู้ได้รับผลกระทบทุกคน
Mon, 27 Apr 2020 - 07min - 6 - มุมมองเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ 27 เมษายนMon, 27 Apr 2020 - 02min
- 5 - แนวโน้มดอกเบี้ยไทย
ดอกเบี้ยมีแนวโน้มดอกเบี้ยต่ำลากยาว... ผมมองเงินเฟ้อติดลบหรือเงินฝืด 2020 แต่เงินเฟ้อปี 2021 เราน่าหาโอกาสลงทุนอย่างไร... วันนี้พูดเรื่อง Deflation 2020 vs. Inflation 2021 กับการมองทิศทางดอกเบี้ยไทยในอนาคต ผมมองดอกเบี้ยกนง.ลงได้อีกครั้ง ไปสู่ระดับ 0.50%ต่อปี แม้ที่ผ่านมาได้ลดแรงกดดันจากการลดFIDFและทำQEแต่อาจต้องมีเสริมหากมี2 ปัจจัยนี้ หนึ่งคือGDPไทยไตรมาสแรกหดตัวกว่าคาด (เราคาดหดตัวได้ถึง -3.0%) และสองคือมาตรการทางการคลังล่าช้า คือแจกเงินน้อยและไม่ทั่วถึง รอลุ้นแนวคิดแบบKeynesian Economics คือให้รัฐเป็นตัวนำเศรษฐกิจรอบนี้ แต่ผลอาจเกิดหนี้สาธารณะพุ่งสูง ซึ่งทางออกคืดให้ดอกเบี้ยต่ำลากยาว พร้อมปล่อยเงินเฟ้อมาช่วยลดมูลค่าหนี้ (รายได้โตเร็วกว่าหนี้) ผมมองเงินเฟ้อติดลบหรือเงินฝืดปีนี้แต่จะเป็นเงินเฟ้อจริงๆปีหน้า นักลงทุนอาจหาสินทรัพย์ที่ราคาวิ่งตามเงินเฟ้อ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ มากกว่าตราสารหนี้ แต่ก็ขึ้นกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคนนะครับ เชิญฟัง podcast วันนี้ได้ครับ
Fri, 24 Apr 2020 - 10min - 4 - ราคาน้ำมัน Q2Wed, 22 Apr 2020 - 02min
- 3 - แนวโน้มเศรษฐกิจหลังมาตรการคลังต้านวิกฤติโควิด
ภาวะเศรษฐกิจช่วงฟื้นตัว ผมมองว่าภายหลังมีการอัดฉีดงบประมาณการคลังครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจราว 1 ล้านล้านบาท เราอาจเห็นสิ่งต่อไปนี้ 1. เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็ว จากความต้องการสินค้าที่ขาดแคลน ขณะที่นโยบายการเงินยังผ่อนคลายและไม่น่ารีบหยิบมาใช้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ นอกจากนี้ รัฐบาลอาจมีแรงจูงใจให้เกิดเงินเฟ้อเพื่อให้หนี้ภาครัฐโตช้ากว่ารายได้ และช่วยให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงได้ในภายหลัง 2. ขึ้นภาษีหารายได้ ผมเชื่อว่ายังไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็วเพราะรัฐยังอยากประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อาจเป็นการขยายฐานภาษีเพื่อเพิ่มรายได้มากกว่าเก็บอัตราภาษีเพิ่ม 3. รัฐบาลจะออกพันธบัตรการออม หรือ saving bond หรือ covid bond เพื่อระดมทุนใช้จ่าย และหวังดูดซับการบริโภคภาคเอกชนไม่ให้ร้อนแรงจนเกิดเงินเฟ้อสูง แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือจะให้ผลตอบแทนเท่าไร ขณะนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีอยู่ที่ราว 1.50% หากจะจูงให้คนออมมากๆ ก็อาจสูงได้ถึง 2.50% แต่ผมยังห่วงว่าอาจไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้ในภายหลัง 4. นักวิเคราะห์จะแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ และลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ก็ควรพิจารณาความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ด้วย 5. การค้าการลงทุนโลกเปลี่ยน แม้หลายประเทศจะทยอยเปิดให้คนเดินทางมากขึ้น แต่จะใช้เวลากว่าจะฟื้นได้อย่างชัดเจน ที่น่ากังวลคือการค้าโลกอาจไม่ฟื้นเร็วเพราะแต่ละประเทศน่าจะอยากจะให้เกิดการจ้างงาน การลงทุนในประเทศ อีกทั้งความเสี่ยงเรื่องโควิดระบาดจนต้องปิดเมืองอีกจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณามากขึ้น จนอาจต่อสายการผลิตให้ยาวขึ้นในประเทศ หรือลดการพึ่งพิงวัตถุดิบและตลาดจากต่างประเทศ เพราะกังวลว่าอาจเกิด supply disruption เช่นในจีนที่ส่งของไม่ได้ขึ้นอีก ที่ผมกังวลคืออาจมีกระแสต่อต้านการค้าเสรี หรืออาจรวมถึง anti-globalization ที่คนต้องการพึ่งพาตัวเองมากขึ้น เช่น จีนอาจสนับสนุนให้คนจีนท่องเที่ยวในประเทศและอาจจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศเพื่อลดรายจ่ายและอยากฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศก่อน ขณะที่หลายประเทศอาจใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษี หรือจำกัดการนำเข้าเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมในประเทศฟื้นตัวได้เร็ว และช่วยให้เกิดการจ้างงานการลงทุนในประเทศ ผมมองว่าแม้มาตรการเหล่านี้จะช่วยได้ แต่ก็เพียงระยะสั้น แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจโลกจะชะลอ การผลิตขาดประสิทธิภาพ ซึ่งเราควรเดินหน้าสนับสนุนการร่วมกลุ่มอาเซียนและการค้าเสรีเพื่อชาวยให้การค้าโลกฟื้นได้โดยเร็ว และจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีขึ้นในระยะยาว เราควรเป็นห่วงอะไร สิ่งที่นักลงทุนไทยควรพิจารณาคือ การพึ่งวัตถุดิบและตลาดในประเทศในช่วงที่การค้าโลกชะลอ ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และด้านแรงงานควรมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะในภาวะสงครามที่เราไม่รู้ว่าจะลากยาวเพียงไรนี้ เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกมาก และเราต้องปรับตัวเองให้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เราชนะสงครามไวรัส เราอาจแพ้สงครามเศรษฐกิจที่ศักยภาพเศรษฐกิจไทยจะลดลง GDP โตช้ากว่าในอดีตไปอีกนานเป็นตัว J กลับข้างที่ลงลึก ฟื้นช้า และโตต่ำกว่าเดิมครับ
Sun, 19 Apr 2020 - 23min - 2 - Covid bonds
เมื่อเงินเฟ้อขึ้นสูงในอนาคต โควิดบอนด์ หรือพันธบัตรรัฐบาลที่กู้ยืมจากประชาชนเพื่อใช้จ่ายโดยรัฐบาลเพื่อสู้วิกฤติเศรษฐกิจจะคุ้มค่าแก่การลงทุนหรือไม่... ผมมองว่าต้องขึ้นอยู่กับมุมมองเงินเฟ้อในอนาคตด้วยครับ
Thu, 16 Apr 2020 - 03min - 1 - Anti-globalization หลัง โควิดThu, 16 Apr 2020 - 02min
Podcasts similar to วิเคราะห์เศรษฐกิจ
- นิทานชาดก 072
- พี่อ้อยพี่ฉอด พอดแคสต์ CHANGE2561
- หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม dhamma.com
- Scoop Viewfinder Gene Viewfinder
- Speak Better English with Harry Harry
- รุ่นเก๋า...เล่าเกร็ด Hoy Apisak
- เล่าเรื่องรอบโลก by กรุณา บัวคำศรี karunabuakamsri
- ลงทุนแมน longtunman
- Mission To The Moon Mission To The Moon Media
- พระเจอผี Podcast Prajerpee
- เคาะข่าวค่ำ radio tonews
- Roundfinger Channel Roundfinger Channel
- SONDHI TALK sondhitalk
- TED Talks Daily TED
- คุยให้คิด Thai PBS Podcast
- หน้าต่างโลก Thai PBS Podcast
- ธรรมะบ้านสบายใจ โดย ท่านจิตโต Thamma-BanSabaijai.org, fb.me/Thamma.BanSabaijai.org
- พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) Thammapedia.com
- The Secret Sauce THE STANDARD
- THE STANDARD PODCAST THE STANDARD
- ข่าวสดสายตรงจากวีโอเอ ภาคภาษาไทย 6:30 – 7:00 น. - วอย VOA
- Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล) watpasukato
- พุทธวจน พุทธวจน
- หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ